วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ภัยจาก......ผ้าอนามัย


หมอสังเกตว่าผ้าอนามัยนั้นเป็นสิ่งเล็กๆ แต่ไม่ใช่เรื่องเล็กสำหรับผู้หญิงเชียวนะคะ
" คุณหมอคะ ทำไมเมื่อดิฉันเป็นประจำเดือนทีไร ใส่ผ้าอนามัย จะต้องมีผื่นขึ้นที่ขาหนีบ และคันอยู่เรื่อยคะ ใช่ดิฉันแพ้ผ้าอนามัยหรือเปล่า "
คำถามนี้เป็นคำถามที่มีคนไข้ปรึกษาบ่อยๆ ค่ะ หมอมักจะตอบว่า
              " อาการที่คุณเป็นนั้น คงมีสาเหตุเกี่ยวกับผ้าอนามัยแหละค่ะ แต่จะเป็นเพราะ แพ้ผ้าอนามัยหรือเพราะเป็นประจำเดือน ทางที่ดีก็ต้องตรวจภายในดูแหละค่ะ " คนไข้ส่วนหนึ่งอาจจะบอกว่า " แหมกำลังเป็นประจำเดือนอยู่ค่ะ คุณหมอช่วยจัดยา ให้ไปกินไปทาก่อนได้ไหมคะ เอาไว้หายจากเป็นประจำเดือนแล้วค่อยมาตรวจ "

              " ให้ดีก็ตรวจภายในแหละค่ะ " หมอมักจะตอบซ้ำเช่นนั้น เพราะคนไข้มีผื่น ที่ขาหนีบเมื่อใส่ผ้าอนามัยตอนเป็นประจำเดือน ที่เจอบ่อยที่สุดไม่ใช่เป็นอาการแพ้ ผ้าอนามัยตามที่สงสัยนะคะ แต่เป็นเรื่องของการอักเสบจากการติดเชื้อราที่อวัยวะเพศและขาหนีบ เชื้อรานี้มักจะกำเริบก่อนเป็นประจำเดือน เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ความอับชื้น ฯลฯ ถัดลงมาจึงเป็นการแพ้ผ้าอนามัย และการติดเชื้อประเภทอื่นๆ

              หมอเองพบว่า ถ้าไม่ได้ตรวจภายใน เฉพาะคำบอกเล่าของคนไข้เองนั้น ไม่สามารถวินิจฉัยได้แม่นยำ เพราะการบอกเล่านั้น แล้วแต่อุปนิสัยของคนไข้นะคะ บางคนบอกน่ากลัว เช่น เป็นแผลขนาดใหญ่ เจ็บแสบมาก เมื่อตรวจภายในไม่พบแผลเลยก็มี บางคนบอกว่าเจ็บแสบนิดหน่อย เมื่อตรวจพบว่า มีแผลที่แคมขนาดใหญ่จนถึงกับเนื้อแคม แหว่งไปเลยก็มี ดังนั้นเมื่อมีความผิดปกติในบริเวณอวัยวะเพศ การตรวจภายใน จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด เมื่อวินิจฉัยถูกต้อง การรักษาก็จะได้ผล

" แล้วถ้าแพ้อนามัยจะมีอาการต่างจากการติดเชื้ออื่นๆ อย่างไรค่ะ "
              คนไข้บางคนสงสัย " ค่ะ อาการแพ้ผ้าอนามัย ก็เหมือนอาการแพ้ที่เกิดกับส่วนอื่นๆ ของร่างกาย คนเราแพ้ผ้าอนามัย หรือส่วนประกอบอื่นๆ ของผ้าอนามัย เช่น น้ำหอมได้ อาการแพ้มักเกิดเมื่อใส่ผ้าอนามัยไปได้ไม่นาน คือมีอาการคัน มีผื่นขึ้น ลักษณะของผื่นแดง บางทีเป็นตุ่มน้ำใสๆ สังเกตว่า อาการคันและตุ่มน้ำนี้ ไม่ได้อยู่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกเท่านั้น ยังลามไปบริเวณรอบๆ ทวารหนัก คือบริเวณที่ผ้าอนามัยสัมผัสผิวของผู้สวมใส่ได้อีกด้วย เพราะถ้าแพ้อนามัย ผิวส่วนอื่นๆ ก็มักจะแพ้ด้วย ไม่ใช่เฉพาะผิวบริเวณอวัยวะเพศนะคะ " " รักษาอย่างไรคะ " " เมื่อมีผื่นแพ้ ก็ต้องเลิกใช้ของที่แพ้ และอาจใช้ยาแก้แพ้ ชนิดทาและหรือชนิดกินช่วย"

" คุณหมอคะ โรคอื่นๆ ที่กำเริบในช่วงเป็นประจำเดือนนั้น มีโรคอะไรบ้างคะ "

              " ค่ะ ก็มีหลายโรค โรคที่พบบ่อยก็คือโรคเชื้อรา เชื้อรานี้โดยปกติร้อยละ 15 ของสตรี มีเชื้อนี้อยู่ โดยไม่มีอาการ เชื้อราเหล่านี้มักมีสาเหตุนำที่ทำให้เกิดอาการขึ้น เช่น ความอับชื้น ความเป็นกรดด่างที่เปลี่ยนไป ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ตั้งครรภ์ รับประทานยาคุมกำเนิด รับประทานยาปฏิชีวนะอยู่ เป็นโรคพร่องภูมิต้านทาน รับประทานยาบางชนิด เป็นต้น ลักษณะของการอักเสบจากเชื้อรานี้ มักจะเป็นบริเวณรอบๆ ช่องคลอดและขาหนีบ ช่องคลอดจะบวมแดง คัน และเป็นรอยแตก ทำให้มีอาการปัสสาวะแสบร่วมด้วย ส่วนโรคอื่นที่ทำให้เกิดผื่นที่อวัยวะเพศ และพบบ่อยในช่วงเป็นประจำเดือน ได้แก่ โรคเริม ส่วนโรคติดเชื้อชนิดอื่นๆ ก็พบได้ แต่ไม่บ่อยค่ะ "

" อยากให้หมอเล่าเรื่องโรคเริม เขาว่าเป็นแล้วรักษาไม่หายจริงหรือเปล่าคะ "
              " คะ โรคเริมนั้น เป็นการติดเชื้อไวรัส ชนิดเฮอร์ปี่ซิมเพล็กส์ชนิด 1 หรือชนิด 2 (HSV1, HSV2) โรคเริมที่อวัยวะเพศส่วนใหญ่เป็นการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สมัยก่อนเชื่อว่าชนิดที่ 1 นั้น เกิดที่ริมฝีปาก ชนิดที่ 2 เกิดที่อวัยวะเพศ ปัจจุบันเชื่อว่า ทั้งสองชนิดเกิดได้ที่อวัยวะเพศเหมือนๆ กันโดยชนิดที่ 1 บางทีติดมาจากริมฝีปาก ในกรณีมีการร่วมเพศโดยใช้ปากช่วย โรคเริมนี้มีระยะฟักเชื้อประมาณหนึ่งสัปดาห์ นั่นหมายถึงเมื่อร่วมเพศกับคนที่เป็นเริม อีกหนึ่งสัปดาห์ จึงจะมีอาการอักเสบจากโรคเริม

              โรคเริมเมื่อเป็นครั้งแรก จะมีอาการมาก อวัยวะเพศจะขึ้นตุ่มใสๆ เป็นกลุ่ม ต่อมาไม่กี่วัน ตุ่มพวกนี้จะแตกเป็นแผลมีหนอง และเจ็บปวดมาก มีต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต กดเจ็บ ต่อมาแผลจะเริ่มตกสะเก็ดและหาย ใช้เวลานานถึง 2-3 สัปดาห์ เมื่อติดเชื้อเริมแล้ว เชื้อเริมจะไปอยู่ที่ปมประสาทในไขสันหลัง และแพร่เชื้ออกมาเป็นระยะๆ นั่นคือโรคเริม เมื่อเป็นแล้วไม่หายขาด เมื่อภูมิต้านทานของคนไข้ต่ำลง เช่น กำลังเป็นประจำเดือน ไม่ได้พักผ่อน วิตกกังวล เป็นต้น ก็จะเป็นโรคเริมกลับซ้ำมาอีก โรคเริมกลับซ้ำนี้ มักมีอาการไม่มาก บางทีมีตุ่มใสๆ สองสามตุ่มคันๆ แตกแล้วก็หายไป สรุปตุ่มที่อวัยวะเพศ ในช่วงเป็นประจำเดือนบางทีอาจเป็นการติดเชื้อจากโรคเริมได้ค่ะ " 
" แล้วผื่นผ้าอ้อมในเด็กจะเหมือนผื่นที่ผู้ใหญ่ใส่ผ้าอนามัยไหมคะคุณหมอ ลูกดิฉันเวลาใส่ผ้าอ้อมแบบสำเร็จรูปก่อนนอน พอตอนเช้าก้นเป็นผื่นแดงไปหมดเลยค่ะ "
              " ในเด็กไม่เหมือนในผู้ใหญ่นะคะ ผื่นผ้าอ้อมในเด็กนั้นสาเหตุที่พบมากได้ที่สุด คือผื่นแพ้ แพ้ความเปียกชื้น ปัสสาวะ อุจจาระ ลักษณะจะเป็นผื่นสีแดงเป็นปื้นใหญ่ รอบๆ อวัยวะเพศ ก้นและต้นขาค่ะ วิธีรักษาก็ง่าย เมื่อเลิกใช้ผ้าอ้อม ระวังความเปียกชื้นให้ดี ผื่นก็จะหายไปค่ะ "

" คุณหมอคะ หนูนะชอบใส่ผ้าอนามัยผืนเล็กๆ เพราะมีกลิ่นหอมและดูสะอาดดี เวลามีตกขาวก็ไม่เปรอะเปื้อนกางเกง แต่หนูสังเกตว่า เมื่อหนูใส่ผ้าอนามัย หนูจะมีตกขาวทุกวัน เป็นเพราะเหตุใดคะ "
             " ค่ะ การใส่ผ้าอนามัยตลอดเวลา อาจจะทำให้รู้สึกสะอาด แต่เป็นสุขลักษณะที่ไม่ดีนะคะ เพราะจะทำให้ช่องคลอดมีการอับชื้นตลอดเวลา มีโอกาสติดเชื้อต่างๆ มากขึ้น ดังนั้นจึงควรใส่ผ้าอนามัยในเวลาที่จำเป็นเท่านั้นนะคะ แม้แต่กางเกงชั้นในที่คับๆ ก็ควรจะหลีกเลี่ยง เปลี่ยนมาใช้กางเกงผ้าฝ้ายที่สวมใส่สบายจะดีกว่า เพราะถ่ายเทอากาศได้ดีกว่าค่ะ "

" คุณหมอคะ หนูเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ นิยมใช้ผ้าอนามัยแบบสอด จะมีโทษอะไรหรือเปล่าคะ เช่น จะทำให้ช่องคลอดหย่อนยานได้หรือเปล่า "
              " ผ้าอนามัยแบบสอดนั้น มีมานานแล้วค่ะ ตั้งแต่สมัยยี่สิบปีก่อน แต่ไม่เป็นที่นิยมจริงๆ แล้วหลักการน่าจะดีนะคะ คือสอดม้วนสำลีเล็กๆ เข้าไปในช่องคลอดเพื่อให้ซับประจำเดือน ก่อนประจำเดือนจะมาเปรอะเปื้อนด้านนอก แต่มีปัญหาหลายอย่างที่ทำให้ไม่นิยมนะคะ

              ข้อ 1. วัฒนธรรมไทย ไม่นิยมสอดอะไรเข้าไปในช่องคลอด พบว่ายารักษาโรคบางอย่าง ที่เป็นชนิดสอดเข้าช่องคลอดก็เช่นกัน คนไข้มักจะขอเปลี่ยนเป็นยาชนิดรับประทานแทน
              ข้อ 2. เมื่อสอดเข้าไป ถ้าลืมไว้จะเกิดอันตรายได้ เนื่องจากประจำเดือนนั้นก็คือเลือด ซึ่งเป็นอาหารที่ดีของเชื้อโรค ทำให้ผ้าอนามัยแบบสอดนั้น กลายเป็นก้อนเชื้อโรค เกิดการติดเชื้อภายในได้ ที่ร้ายแรงก็คือ ถ้าอวัยวะเพศมีแผลอยู่ การติดเชื้อนั้น อาจลุกลามเข้ากระแสเลือดได้
              ข้อ 3. ถ้าผู้สอดไม่คุ้นเคยกับอวัยวะภายในช่องคลอด จะเกิดความวิตกมาก  
                      มีคนไข้รายหนึ่งมาหาหมอด้วยว่า เมื่อสอดผ้าอนามัยเข้าไป เกิดไปคลำเจอ ก้อนอะไรไม่ทราบแข็งๆ อยู่ในช่องคลอด เกิดความวิตกกลัวเป็นก้อนมะเร็ง จึงมาหาหมอ เมื่อตรวจแล้วพบว่าจริงๆ ก้อนนั้นเป็นปากมดลูกธรรมดาค่ะ

              ถ้าไม่มีข้อ 1-3 การใช้ผ้าอนามัยแบบสอดก็นับว่าสะดวกปลอดภัยและไม่ได้ทำให้ ช่องคลอดหย่อนยานประการใดนะคะ "

" คุณหมอคะ แม่ของหนูไม่ยอมให้หนูใช้ผ้าอนามัยตอนอยู่ที่บ้านในวันหยุด ท่านบอกว่าทำให้ ประจำเดือนไม่ค่อยไหล จริงหรือเปล่าคะ "
              " ปัญหานี้ คนในเมืองกรุงคงไม่ค่อยเจอแล้วนะคะ ในต่างจังหวัดบางแห่งนั้น เมื่อมีประจำเดือนยังพบการใช้วิธี "ขี่ม้า" ประปราย ตอนหมอมาอยู่บ้านนอกใหม่ๆ ก็งงว่าขี่ม้านั้นหมายถึงอะไร มาทราบว่าคือการใช้ผ้าถุงสะอาดหลายผืน พันม้วนเป็นผืน ยาว และสอดรองระหว่างขาเมื่อเป็นประจำเดือน จริงๆ แล้วดูโบราณ แต่ถ้าผ้าเหล่านี้สะอาด ก็เป็นผ้าอนามัยชั้นดี ไม่ต้องเสียเงินตราออกนอกประเทศ แต่จะต้องเสียเวลาซัก เท่านั้นเองค่ะ การใส่ผ้าอนามัยแน่นเกินไปก็เป็นการปิดกั้นไม่ให้ประจำเดือนไหลออกมาจริงนะคะ ดังนั้นควรขยับผ้าอนามัยบ้าง เมื่อใส่ไปนานๆ ค่ะ "
 อีกไม่นานได้เห็น ! รถไฟกรุงเทพ-เชียงใหม่ 3 ชั่วโมง ปักกิ่ง-เสิ่นเจิ้น 8 ชั่วโมง
 
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ วีดีโอลิงก์มายังประเทศไทย เมื่อค่ำวันที่ 25 ก.พ. ตอนหนึ่งระบุว่า

โครงการรถไฟความเร็วสูงที่ได้รับความช่วยเหลือจากจีน  จะทำให้การเดินทางจากกรุงเทพ-เชียงใหม่ ใช้เวลาเพียง  3 ชั่วโมง จากนั้นจะมีรถไฟความเร็วสูงจากกรุงเทพ-นครราชสีมา


เมื่อไม่นานมานี้ กระทรวงการรถไฟแห่งประเทศจีนรายงานว่า เส้นทางรถไฟปักกิ่ง-ฮาร์บิน และ ปักกิ่ง-เสิ่นเจิ้น จะพร้อมเปิดใช้ในเร็วๆนี้ ซึ่งระยะทางจากปักกิ่ง-ฮาร์บิน และ ปักกิ่ง-เสิ่นเจิ้น จะใช้เวลา 5 ชม. และ 8 ชม.ตามลำดับ
      
โดยเส้นทางรถไฟ ปักกิ่ง-เสิ่นเจิ้น ทางตอนใต้ และหวู่ฮั่น-กว่างโจว นั้นได้เปิดให้ใช้บริการแล้ว

ปลายปีที่แล้วได้คาดการณ์ว่าเดือนเมษายนจะสามารถให้บริการเส้นทางหวู่ฮั่น-กว่างโจวได้ ฉะนั้นรถไฟเส้นปักกิ่ง-เสิ่นเจิ้นสามารถแล่นลงใต้โดยตรงเพียงใช้เวลาแค่ 8 ชม. เท่านั้น และในสิ้นปีนี้เส้นทางรถไฟ ปักกิ่ง-สือเจียจวง ปักกิ่ง-กว่างโจว และปักกิ่ง-เสิ่นเจิ้น จะสามารถพร้อมให้บริการที่สถานีรถไฟสายตะวันตกของกรุงปักกิ่ง และเมื่อสถานีรถไฟซินเฟิงไถ๋สร้างแล้วเสร็จจึงจะย้ายไปที่ดังกล่าวทั้งหมด

      
ส่วนเส้นทางรถไฟปักกิ่ง-ฮาร์บินคาดจะแล้วเสร็จในปลายปีเช่นกัน โดยเส้นทางปักกิ่ง-เทียนจิน แล่นไปทางเหนืองผ่านตะวันออกเฉียงเหนือ

โดยเส้นทางรถไฟ ปักกิ่ง-เสิ่นหยาง และปักกิ่ง-ฮาร์บินจะใช้ระยะเวลาเพียง 3ชม. และ 5ชม. ตามลำดับ ส่วน เส้นทางรถไฟฮาร์บิน-ต้าเหลียนจะร่นระยะเวลาลงจาก 9 ชม.เหลือเพียง 3 ชม.เท่านั้น

      
กระทรวงการรถไฟแห่งประเทศจีนเปิดเผยว่า ปีนี้จีนจะเปิดเส้นทางเดินรถจำนวน 6,366 กิโลเมตร โดยคิดเป็นร้อยละ 3.2 เท่าจากปีก่อนหน้า

และเป็นปีที่ลงทุนทางเส้นทางรถไฟมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยจำนวนนี้เป็นรถไฟความเร็วสูงร้อยละ 55 และเส้นทางรถไฟที่น่าจับตามองได้แก่ ปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง-เสิ่นเจิ้น และปักกิ่ง-ฮาร์บิน เป็นต้น ซึ่งการที่การรถไฟของจีนได้มีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้ประสิทธิภาพในการขนส่งและความปลอดภัยเพิ่มขึ้นเช่นกันเนื่องตามหลักการขยายเส้นทางรถไฟนั้นจะต้องได้รับการประเมินความปลอดภัยเป็นหลักสำคัญ

สุดทึ่ง! "ตุ๊กแก"ห้อยหัว ท่าทางคล้ายพนมมือ ขณะพระสวดทำบุญ


ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้าน ต.สว่างอารมณ์ อ.ดอกคำใต้ จ.พะเยา

เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์  ว่า ที่บ้านเลขที่ 79/1 หมู่ 4 ต.สว่างอารมณ์ อ.ดอกคำใต้ มีตุ๊กแกประหลาดห้อยหัวและทำท่าเหมือนคล้ายว่ากำลังพนมมือ

นายคำปัน สุยะต๊ะ อายุ 74 ปี เจ้าของบ้าน กล่าวว่า เมื่อเวลา 07.00 น.

ตนพร้อมด้วยลูกและญาติๆ ทำพิธีทำบุญสืบชะตาให้แก่ตนเองกับนางศรี ผู้เป็นภรรยา อายุ 61 ปี ซึ่งขณะที่ประกอบพิธีกรรมอยู่นั้น มีเสียงแตกตื่นจากชั้นล่างของบ้านว่า มีตุ๊กแกห้อยหัวอยู่ที่หน้าประตูบ้าน จนพิธีกรรมเสร็จสิ้นพระสงฆ์ก็บอกว่าบ้านหลังนี้มีโชคที่ตุ๊กแกมาฟังพระสวดมนต์ ชาวบ้านที่มาร่วมงานก็บอกว่า ขณะที่พระสงฆ์ประพรมน้ำมนต์ให้พรผู้มาร่วมพิธีกรรมนั้น สังเกตพบว่าตุ๊กแกผงกหัวตลอดเวลาด้วย ซึ่งลักษณะที่ตุ๊กแกยึดอยู่กับผนังของบ้านนั้น พบว่า ตุ๊กแกมีความยาวขนาด 9 นิ้ว ใช้ขาหลัง 2 ข้างยึดติดกับผนังบ้าน ส่วนขาหน้าทั้งสองก็ยกขึ้นมาติดกันคล้ายพนมมือไหวด้วย อย่างไรก็ตามบ้านของตนไม่เคยมีตุ๊กแกเลย มาวันนี้เป็นวันทำบุญกลับมีตุ๊กแกมาถือว่าแปลกเหมือนกัน

ด้านนายนันท์ สุยะต๊ะ อายุ 55 ปี ลูกชายนายคำปัน กล่าวว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าวตนเชื่อว่าอาจจะเป็นดวงวิญญาณของแม่ตนที่ล่วงลับไปนานแล้วถึง 30 ปี มาร่วมรับผลบุญที่ตน พ่อ และญาติ ๆ ได้ทำอุทิศส่วนกุศลไปให้

วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555


นักวิจัยชี้ ดื่มกาแฟช่วยลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

ผลการศึกษาจากสถาบันวิจัยในสหรัฐฯพบว่า ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วหรือมากกว่านั้น อาจช่วยลดความเสี่ยงในการพัฒนาของโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้
ผลการศึกษาที่นำออกเผยแพร่บนวารสารมะเร็งระบาดวิทยา สิ่งบ่งชี้ทางชีววิทยาและการป้องกัน ที่ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างที่เป็นสตรีพบว่า ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟวันละ 4 ถ้วยหรือมากกว่านั้น มีความเสี่ยงในการพัฒนาของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ได้มากกว่าผู้ที่ดื่มน้อยกว่า 1 ถ้วยต่อวัน
ทั้งนี้ โดยทั่วไปผู้หญิงที่ไม่ว่าจะดื่มกาแฟหรือไม่ อาจมีการพัฒนาไปสู่การเป็นโรคมะเร็งได้ค่อนข้างน้อย โดยในรอบกว่า 26 ปีที่ผ่านมา มีสตรีจำนวนเพียง 672 รายจาก กลุ่มศึกษา 67,000 รายที่ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
นักวิจัยได้สำรวจพยาบาลกว่า 67,000 คนในสหรัฐฯ พบว่า ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟมากมีโอกาสลดลง 25 % ที่จะเป็นมะเร็งที่มดลูกเมื่อเปรียบเทียบกับสตรีที่ดื่มกาแฟโดยเฉลี่ยน้อยกว่าวันละ 1 แก้ว นักวิจัยยังไม่สามารถสรุปได้ว่ากาแฟคือสาเหตุที่ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลดลง  แต่ผลการศึกษาชิ้นนี้ได้ตอกย้ำผลการศึกษาหลายชิ้นก่อนหน้านี้ที่ให้ผลในลักษณะคล้ายคลึงกัน
นายเอ็ดเวิร์ด โจวานนุชชี นักวิจัยอาวุโสคณะสาธารณสุขศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด กล่าวว่ากาแฟโดยตัวเองอาจมีประโยชน์บางประการ โดยสามารถลดระดับของอินซูลินและฮอร์โมนเอสโตรเจนที่หมุนเวียนในร่างกาย ซึ่งทั้งสองชนิดมีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
นักวิจัยทำการสำรวจปัจจัยอื่นๆ ที่จะมีผลต่อการเป็นมะเร็ง เช่น น้ำหนักตัว ประวัติตั้งแต่แรกเกิด การใช้ฮอร์โมนหลังวัยหมดประจำเดือน  ยาเม็ดคุมกำเนิด แต่ทั้งหมดไม่ได้ทำให้ความเสี่ยงเป็นมะเร็งลดลงในหมู่คนที่ดื่มกาแฟ
นักวิจัยเตือนว่า การดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วอาจไม่เป็นผลดีนัก โดยเฉพาะกับผู้ที่มีร่างกายอ่อนไหวต่อการได้รับสารคาเฟอีน  และแม้นักวิจัยพบว่า กาแฟที่สกัดสารคาเฟอีนทำให้ความเสี่ยงเป็นมะเร็งต่ำลง แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลยืนยันที่ชัดเจนทางสถิติ และในทางทฤษฎี  การใส่น้ำตาลและครีมในกาแฟก็จะทำให้อ้วน ซึ่งความอ้วนคือปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง


เกร็ดความรู้ สารอาหารที่ทำให้ผมสวย

อาหารที่ทานในแต่ละวัน มีวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเส้นผมแค่ไหน? และเส้นผมต้องการสารอาหารชนิดใดเพื่อบำรุงให้สวยงาม
ผมแต่ละเส้นมีระยะเวลาในการเติบโตประมาณ 6-7 ปี จากนั้นจึงจะหลุดร่วงไปตามธรรมชาติแล้วมีผมเส้นใหม่ขึ้นมาแทน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เส้นผมมีวงจรการเจริญเติบโตตามปกติ เพราะอาจต้องเผชิญกับปัญหาผมร่วง ผมบาง ซึ่งสาเหตุหนึ่งอาจมาจากการดูแลอย่างไม่ถูกต้องหรือขาดสารอาหาร เนื่องจากเส้นผมเป็นสิ่งที่สะท้อนสุขภาพโดยรวม ซึ่งแร่ธาตุที่ทำให้เส้นผมเจริญเติบโตเร็วประกอบด้วย “ธาตุเหล็ก”ที่มีในเซลล์เม็ดเลือดแดง ธาตุเหล็กทำให้เลือดไปเลี้ยงรากผมได้ดีและทำให้เส้นผมไม่เปราะขาดง่าย
“สังกะสี” เป็นธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของทุกอวัยวะในร่างกายและช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดการขาดร่วงของเส้นผม มีมากในงาและดาร์ค ชอคโกแลต ส่วน“อินโนซิทอล”ช่วยในการย่อยไขมันให้กลายเป็นโมเลกุลเล็กๆ และช่วยในการสร้างเซลล์กระดูกใหม่ๆ เซลล์เส้นผม ผิวหนัง และเยื่อหุ้มเซลล์
ด้านวิตามินที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของผมได้แก่ “วิตามินเอช”ซึ่งรู้จักกันในชื่อ ไบโอตินหรือวิตามินบี 7 พบได้ในถั่วและไข่แดง วิตามินเอชจะช่วยป้องกันการเกิดผมขาวและผมหลุดร่วง “วิตามินเอ”ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และบำรุงผม มีมากในเนื้อสัตว์ ไข่ ชีส ผักขม ปลา นม บร็อคโคลี แครอทและผักกะหล่ำ
“วิตามินซี”จะช่วยสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ทำให้ผมไม่เปราะหักง่ายและกระตุ้นการเกิดใหม่ของเส้นผม อย่างไรก็ตามควรทานผลไม้ที่มีวิตามินซี อย่างฝรั่งหรือส้ม มากกว่าทานวิตามินซีแบบเม็ด ยกเว้นตามคำสั่งแพทย์ ด้าน“วิตามินอี”ทำให้โลหิตไหลเวียนบริเวณหนังศีรษะได้ดี พบมากในผักใบเขียว ถั่วเหลือง แต่ผู้ที่มีปัญหาความดันโลหิตสูงไม่ควรทาน
สุดท้าย“วิตามินบี5” ทำให้เส้นผมแข็งแรงไม่หลุดร่วงง่าย และป้องกันการเกิดผมขาว มีในอาหารหลากหลายชนิด เช่น ตับ เครื่องในสัตว์ ไข่แดงและผัก

วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

สำหรับคุณผู้อ่านที่รู้สึกว่า สัญญาณ Wi-Fi ของเราท์เตอร์ที่บ้านไม่แรงพอ ทดลองทำตาม 8 ขั้นตอนง่ายๆ ต่อไปนี้ดู บางทีอาจช่วยให้สํญญาณ Wi-Fi แรงขึ้นจาก 2 แท่งเป็น 4 - 5 แท่งเลยก็ได้ ที่สำคัญมันใช้แค่กระป๋องเบียร์ หรือกระป๋องเครื่องดืมน้ำอัดลมทั่วไปกับเครื่องไม้เครื่องมือไม่กี่ชิ้นเท่า นั้น นับเป็นไอเดียที่ฉลาดมากทีเดียว แถมยังประหยัดค่าใช้จ่ายอีกด้วย ว่าแล้วไปติดตามรายละเอียดการทำกันเลยดีกว่าครับ


1. ขั้นตอนแรกให้คุณเตรียมอุปกรณ์ และต้องใช้ ซึ่งประกอบด้วย กระป๋องน้ำอัดลมที่ทำจากอะลูมิเนียม กรรไกร คัทเตอร์คมๆ และดินน้ำมันกาว (Blu tack) ดังรูป


2. ทำความสะอาดกระป๋องด้วยน้ำสะอาดจนมั่นใจว่าไม่มีสิ่งสกปรกตกค้างอยู่ภายใน


3. ดึงวงแหวนที่ปากกระป๋องทิ้งไป


4. ใช้คัทเตอร์ตัดก้นกระป๋องออกไปดังรูป 


5. หลังจากนั้นนำคัทเตอร์มาตัดอีกด้านหนึ่งของกระป๋อง (ด้านที่ดึงวงแหวนออกไป) แต่ต้องตัดไม่ครบวงรอบ โดยเหลือช่วงที่ไม่ตัดให้ขาดออกใกล้ๆ กับช่องที่ใช้ปากดื่ม ข้อสังเกตคือ ระยะที่ตัดพยายามให้อยู่ใกล้ขอบกระป๋องมากที่สุดดังรูป


6. นำกรรไกรมาตัดข้างกระป๋องเป็นเส้นตรง โดยตำแหน่งที่ตัดจะอยู่ตรงข้ามกับด้านที่ติดขอบกระป๋อง


7. ค่อยๆ ใช้มือกางกระป๋องที่ตัดให้กว้างออกมาคล้ายๆ กับจานเรดาร์รับสัญญาณ


8. ติดดินน้ำมันกาวที่ด้านล่างองกระป๋อง แล้วนำกระป๋องไปสวมลงบนเสาอากาศของเราทเตอร์ผ่านทางช่องที่ใช้ปากดื่ม โดยดินน้ำมันกาวจะยึดปากกระป๋องเข้ากับด้านบนของเราท์เตอร์ จากนั้นจัดตำแหน่งให้เหมือนในรูปข้างล่างนี้


หลัง จากทำเสร็จแล้ว ทดลองเปิดเราท์เตอร์ให้ทำงาน แล้วสังเกตแท่งสัญญาณที่แสดงบนทาสก์บาร์ของ Windows บนโน้ตบุ๊คของคุณ โดยพยายามหันด้านทีสะท้อนสัญญาณของเสามาให้ตรงกับโน้ตบุ๊ค ลองดูว่า แท่งสัญญาณจะเพิ่มขั้นหรือไม่? ขอให้คุณผู้อ่านของเว็บไซต์ arip ที่่ลองทำตาม สามารถเพิ่มสัญญาณ Wi-Fi ได้แรงขึ้นดังที่ใจต้องการhttp://www.youtube.com/watch?v=OYAYerjLbZE&feature=player_embedded

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

นร.อินโดนีเซียยอมเสี่ยงตายไต่สะพานพังข้ามแม่น้ำเพื่อไปโรงเรียน

นร.อินโดนีเซียยอมเสี่ยงตายไต่สะพานพังข้ามแม่น้ำเพื่อไปโรงเรียน


 

นักเรียนชั้นประถมกลุ่มหนึ่งในจังหวัดบันเต็น กลัวไปเรียนหนังสือไม่ทัน ลงทุนเสี่ยงตายค่อยๆไต่สะพานข้ามแม่น้ำซิเบอรังที่ทำมาจากเชือกและแผ่นไม้ผุที่อยู่ในสภาพใกล้ถล่มลงมาเต็มที เพื่อเดินทางไปโรงเรียนเช่นนี้ทุกวัน การเดินทางยิ่งลำบากขึ้น เมื่อเกิดน้ำท่วมอย่างหนัก กระทั่งกระแสน้ำเชี่ยวในแม่น้ำพัดพาสะพานจนได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเสาที่มีหน้าที่เป็นตัวร้อยเชือกพังลงข้างหนึ่ง ทำให้ทางเดินที่ทำจากแผ่นไม้เอียงจนเกือบตั้งฉาก ขณะที่อีกข้างหนึ่งยังคงอยู่ในสภาพปกติ ทำให้ผู้คนและเด็กๆที่ต้องสัญจรไปมา ต้องห้อยโหนกับเชือกจนน่าหวาดเสียว ต้องต้องเดินไต่อย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ตนเองหล่นลงไปในแม่น้ำที่เชี่ยวกราก
 

นักเรียนกลุ่มนี้กล่าวว่า สะพานข้ามแม่น้ำที่ใช้สัญจรเป็นประจำเส้นนี้พังลงจากเหตุน้ำท่วม ซึ่งหากจะใช้วิธีการเดินไปโรงเรียนตามถนนก็คงไปเรียนหนังสือไม่ทันแน่ เนื่องจากต้องเดินอ้อมไปอีกเป็นระยะทางร่วม 5 กิโลเมตร หรือใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
 


พ่อแม่และชาวบ้านที่เป็นห่วงสวัสดิภาพของหนูน้อย วอนทางการอินโดนีเซีย รีบเข้ามาซ่อมสะพานแห่งนี้โดยเร็ว สะพานข้ามแม่น้ำความยาว 162 เมตร เส้นนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2004 และเป็นเส้นทางคมนาคมเพียงอย่างเดียวที่เชื่อมระหว่างสองหมู่บ้าน

วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2555

คําศัพท์แสลงในภาษาอังกฤษ

คําศัพท์แสลงในภาษาอังกฤษ

คำแสลงมักเปิดหาในดิกปะเภท talkin dic ไม่เจอหรอกนะคะ ถ้าเจอก้อาจจะไม่นิยมใช้กันจิงๆ ทำนองเนี้ยค่ะ ความจิง ไม่แน่ใจว่าแสลงในที่นี้คือพวก คำศัพท์แปลกๆสั้น รึป่าว เช่น

Bling = อะไรที่แวบวับเหมือนเพชรของพวกดารา ก้จะเปน the celeb's bling

Wheel = บางกรณีคำนี้ก้หมายถึง รถยนต์อ่ะค่ะ เช่น พาดหัวรถดาราว่า The Hot Wheel!

fave = favorite อ่ะค่ะ เขียนแบบนี้เลยจิงๆ สำหรับพวกฝรั่งที่แชทกันเร็วๆอ่ะนะคะ

netted = มาจากคำว่า net ที่แปลว่า ตะข่ายอ่ะค่ะ แต่เติม ed เข้าไป จิงเปน verb(กริยา) ซึ่งมักใช้ในกีฬาฟุตบอล หมายความว่า ยิงประตูเข้าไปตุงตะข่าย อะไรทำนองเนี้ยอ่ะค่ะ

Rock = นี่ไม่ได้แปลว่า ก้อนหินนะคะ แต่จะประมาณว่า เจ๋ง อ่ะค่ะ เช่น She's rocked เธอเจ๋งไปเลย

Bloody = อย่างเช่นใน Harry Potter รอนชอบพูดอ่ะค่ะ ส่วนใหญ่จะหมายถึง โคตจะ...เลย เช่น Bloody scary น่ากลัวฉิXหาย เลยยย ประมานี้อะค่ะ ไม่งั้นก้จะเปนคำอุทานประมาณว่า โอ้ยย แย่แล้ว ตายแล้ว เงียค่ะ (Bloody Hell!!)

put up = อดทนสิ่งใดสิ่งนึง เหมือนเปนศัพท์สำนวนอ่ะค่ะ เช่น ฉันทนกับไอนี่ไม่ไหวแล้วนะ I cant put up ith it anymore!

Bitch = ประมาณว่า แรX ไรงี้อ่ะ

Shut ur bloody cake hole = หุบปากของเธอซะ !

PMS = อาการก่อนมีประจำเดือน

PMDD = คล้ายกับ PMS แต่รุนแรงกว่า

Shit = (ตามจริงแล้วแปลว่า อุจจาระ ) .. แม่X เอ๊ยยย ! << ประมานนี้

Damp ! = ประมาณคล้ายๆ Shit

บรรดาเหล่าวัยรุ่นวัย เรียนสมัยนี้ ส่วนใหญ่แล้วก็คงเป็นนักท่องอินเตอร์เน็ตกันทั้งนั้น แถมยังมีกิจกรรมหลักที่ต้องทำทุกครั้งเมื่อเข้าใช้งานอินเตอร์เน็ต ก็คือการแชทอีกด้วย ทำให้คุ้นชินกับภาษาแปลกๆที่เขียนรูป ผิดหลักไวยากรณ์หรือหลักการใช้ภาษาไทยกันจนเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งนี้รวมถึงคำแสลงต่างๆที่มักใช้กันมากเวลาแชท คำประเภทนี้คงไม่ทำให้วัยรุ่นไทยอย่างคุณงุนงงและคงเข้าใจความหมาย อ่านได้คล่องกว่าผู้ใหญ่มาก แต่หากคุณเกิดมีเพื่อนเป็นวัยรุ่นอเมริกัน คุณก็ควรจะรู้จักคำต่อไปนี้ไว้สำหรับการสื่อสารผ่านโลกออนไลน์ด้วย

'A/S/L' คำนี้มักเจอบ่อยมาก กรณีที่แชทกับคนไม่รู้จักหรือต้องการชวนเพื่อนใหม่มาคุยด้วย ซึ่ง A/S/L นั้นหมายถึง Age/Sex/Location ก็คือการถาม อายุ-เพศ-ที่อยู่ นั่นเอง

'Aite' มาจากคำว่า Alright ที่แปลว่า ดี โอเค เช่น I'm aite

'BTW' มาจาก By the way (อย่างไรก็ตาม) ใช้เวลาต้องการเปลี่ยนเรื่องคุย เช่น I've been in USA for 2 years BTW , will you got to school today? แปลว่า ฉันอยู่อเมริกามาได้ 2 ปีแล้ว อย่างไรก็ตามว่าแต่วันนี้เธอไปโรงเรียนหรือเปล่า

'Bush' แปลว่า บ้านนอก ความหมายเดิมของคำ แปลว่า พุ่มไม้ หย่อมหญ้า มักใช้ว่าหรือประณาม ...เช่น You're Bush !!

'Comfy' มาจากคำว่า Comfortable ที่แปลว่า สะดวกสบาย เช่น This shirt is so comfy (เสื้อเชิ้ตนี่มันใส่สบายมาก)

'Google' แปลว่า ค้นหา มีที่มาจากเว็บไซด์ Google นั่นเอง ซึ่งอาจไม่ได้หมายถึงการหาจาก Google ก็ได้ เช่น
A : what are you doing?
B : google for math presentation.

'Kewl' มาจากคำว่า Cool นั่นเองโดยออกเสียงเหมือนกัน ใช้เมื่องต้องการแปลว่า เจ๋ง ดี เท่

'Mate' ใช้เรียกแทนเชื่อเพื่อน หรือ แทนคำว่า you เช่น Hi Mate ! how are you doing? นอกจากนี้ยังอาจใช้คำว่า Mite แทนได้อีกคำหนึ่ง

'Ola' แปลว่า สวัสดี คำนี้นิยมมากในหมู่วัยรุ่นฮิพฮอพ มีที่มาจากพวกละตินอเมริกันที่เข้ามาอยู่ในนิวยอร์คที่เดิมทีพูดภาษาสเปน เลยนำคำว่า Hola ของสเปน ที่แปลว่า สวัสดี มาใช้จนเพี้ยนกลายเป็น Ola

Nah , Na มาจากคำว่า No ที่แปลว่า ไม่

IDC ใช้เป็นคำย่อ มาจาก I don't care หรือ ฉันไม่แคร์

'Ta' เป็นคำย่อ มาจากคำว่า Thank you ที่แปลว่า ขอบคุณ

'LOL' เป็นอีกคำที่เจอบ่อยมาก มาจาก Laughing out loud ใช้เพื่อสื่อว่าตนเองหัวเราะ เหมือนกับการพิมพ์ '555+' ของวัยรุ่นไทยนั่นเอง

คำ ต่างๆ ข้างต้นที่กล่าวไปนั้น เป็นเพียงคำส่วนหนึ่งที่วัยรุ่นอเมริกันนิยมใช้ในการแชท ซึ่งหากรู้ไว้เป็นความรู้รอบตัวก็คงจะทำให้การแชทของคุณกับเพื่อนชาวต่าง ประเทศเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การใช้ภาษาให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษย่อม เป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะนอกจากจะเป็นการรักษาเอกลักษณ์ของภาษาแล้ว ยังทำให้เราเป็นคนที่ใช้คำได้ถูกต้องทั้งการพูดและการเขียนอีกด้วย

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

Chadil Deffy เดฟ แต่งงานกับศพ



หลังจากเรื่องราวรักไม่มีวันตายของชายหนุ่มจากจังหวัดสุรินทร์ เดฟ เจ้าของชื่อ Chadil Deffy ในเว็บไซต์เฟสบุ๊ค หรือ นายชฎิล ยืนยิ่ง อายุ 28 ปี กับการจัดงานแต่งงานกับศพของ แอน ศรินญลักษณ์ คำสุข อายุ 29 ปี แฟนสาว ที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เสียชีวิตในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ถูกเผยแพร่ไปตามโซเชียลเน็ตเวิร์ก รวมทั้งภาพการแต่งงานกับศพแฟนสาว  การสวมแหวนถูกส่งต่อ (Share) หลายหมื่นครั้ง ทางรายการ ข่าววันใหม่ ทางช่อง 3 ได้ตามหา เดฟ ก่อนขอสัมภาษณ์เปิดใจเหตุดังกล่าว
ทั้งนี้ เดฟเป็นลูกชายเจ้าของร้านสเต๊ก มีอาชีพเป็นผู้กำกับรายการทีวีหลายรายการ เขาและแอน คบหาดูใจกันมาร่วม 10 ปี และเคยสัญญาว่าจะแต่งงานกัน แต่มีเหตุผัดผ่อนมาตลอดจนผ่านหญิงประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต เดฟจึงตัดสินในแต่งงานกับศพแฟนสาวหร้อมบวชหน้าไฟด้วย
เมื่อถามถึงเหตุผลที่เดฟตัดสินใจแต่งงานกับร่างไร้วิญญาณของแฟนสาว เดฟตอบอย่างลูกผู้ชายคนหนึ่งที่กล้ายอมรับว่าไม่คิดจะแต่งงาน แต่เพราะแอนเคยขอไว้ และหากใครจะยกย่องให้เขาเป็นตัวแทนของความรัก เป็น Saint Valentine เขาตอบเลยว่าไม่ใช่ เขาเป็นเพียงมนุษย์เดินดิน ที่ต้องพบเจอการพลัดพราก เกิด แก่ เจ็บ ตาย  แอนเคยถามเขาว่า ถ้าเธอตายเขาจะแต่งงานกับเธอมั้ย? แต่เมื่อวันที่แอนถูกรถชน ความรู้สึกทุกอย่างมันอัดแน่น เขากำลังจะสูญเสียผู้หญิงที่รักไป ทั้งๆที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่ค่อยมีเวลา ทำแต่งาน สนใจแต่ตัวเอง แต่แอนเป็นคนที่อยู่ข้างๆ กล้าเดินกับเดฟไม่ว่าเดฟจะแต่งตัวยังไง มีความคิดประหลาดแค่ไหน แอนก็ยังรัก และไม่แคร์
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เดฟตัดสินใจแต่งงานกับแอน แม้ในวันที่เธอไม่มีลมหายใจแล้วก็ตาม เพราะมันเป็นสิ่งที่แอนรอคอย เขาไม่สนคำคนรอบข้าง เดฟจึงลงประกาศให้เพื่อนๆมาร่วมงาน อยากสวมแหวนให้ โดยไม่ได้ต้องการพีธีรีตองมากมาย เพราะการแต่งงานเป็นเรื่องของคน 2 คน
โดยเดฟยังกล่าวเพิ่มเติมว่า
การที่นำรูปมาโพสต์ในเฟซบุ๊กไม่ได้อยากดัง หรือมีชื่อเสียง และไม่สนว่าวัฒนธรรมอันดีงามของสังคมจะเป็นอย่างไร เเละไม่ต้องการให้ใครมาเข้าใจในสิ่งที่ทำลงไป โดยหลังจากทำเรื่องนี้ ผมถูกแม่ต่อว่าว่าการกระทำดังกล่าวผิดประเพณี แต่ผมไม่สนใจเเละอยากตั้งคำถามกลับไปว่า ประเพณีมีไว้เพื่ออะไร ประเพณีเป็นสิ่งที่คนสร้างขึ้น เพื่อหนีจากโลกตัวเองและโลกความจริง ฉะนั้นเเล้วเราควรต้องต่อสู้และอยู่กับโลกของความจริง
สิ่งที่ทำไปเป็นความต้องการของผู้ชายคนหนึ่งที่อยากทำให้กับผู้หญิงที่รัก ตอนนี้ยังนึกโกรธตัวเองเพราะตอนที่แฟนมีชีวิตอยู่ไม่ได้แสดงความรักและความโรแมนติกให้กับคนรักมากพอ และไม่เคยคิดว่ารัก น.ส. ศรินญลักษณ์มากขนาดนี้ จนเมื่อจากไปแล้วจึงทำให้รู้ว่ารักมากขนาดไหน และเสียใจขนาดไหน
อยากให้กาแสดงออกครั้งนี้เป็นตัวแทนของความผิดพลาดที่ไม่สามารถกลับไปแก้ไขสิ่งที่สูญเสียไปแล้วได้ ไม่อยากให้ใครมาเรียก ผมว่าเป็นตัวแทนของความรักอย่างที่ใครๆ พยายามเรียกอยู่ตอนนี้ เพราะสิ่งที่อยากสื่อออกไปคือให้เป็นบทเรียนของความผิดพลาดที่ทำให้คนที่เรารักไม่ได้ในขณะที่เขายังมีลมหายใจ การแสดงความรักนั้นทำได้เมื่อตอนที่เขายังมีชีวิต และไม่จำเป็นต้องแสดงความรู้สึกเช่นนี้กับคนที่เรารักในฐานะแฟน แต่อยากให้ทุกคนแสดงมันออกไปกับทุกคนที่เรารักทั้ง พ่อ แม่ พี่น้องของเรา
ความรู้สึกขณะนี้ค่อนข้างว่างเปล่า ไม่รู้จะทำอะไรต่อไปและไม่มีความรู้สึกใดๆ เกิดขึ้นเลย เเต่ถ้าถามว่าเสียใจไหมย่อมต้องมีบ้าง แต่คิดว่าสิ่งที่ทำลง ไปนั้นทำดีที่สุดเเล้วที่สามารถทำสิ่งที่ผู้ตายปรารถนา จากนี้ถึงชีวิตจะเป็นอย่างไร สุดท้ายเเล้วต้องเดินหน้าต่อไป

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

เทคนิคการสอนแบบ หมวก6ใบ

เทคนิคการสอนแบบ หมวก6ใบ
เทคนิคการสอนแบบ หมวก 6 ใบ
Six thinking hats คืออะไร
                Six thinking hats คือ เทคนิคการคิดอย่างมีระบบ คิดอย่างมีโฟกัส มีการจำแนกความคิดออกเป็นด้านๆ และคิดอย่างมีคุณภาพ เพื่อช่วยจัดระเบียบการคิด ทำให้การคิดมีประสิทธิภาพมากขึ้น แนวคิดหลัก “การคิด” เป็นทักษะช่วยดึงเอาความรู้และประสบการณ์ของผู้คิดมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ทักษะความคิดจึงมีความสำคัญที่สุด
                ดร. Edward de Bono (เอดเวิร์ด เดอ โบโน) ได้ทำการคิดค้นเทคนิคการคิด six thinking hats ขึ้นมาเพื่อเป็นระบบความคิดที่ทำ ให้ผู้เรียนมีหลักในการจำแนกความคิดออกเป็น 6 ด้าน ทำให้สามารถแก้ปัญหาและตัดสินใจด้วยการคิดทีละด้านอย่างเป็นระบบ เป็นการเพิ่มศักยภาพให้ทักษะการคิด ทำให้ไม่คิดกระโดดไปกระโดดมา หรือคิดพร้อมกันทุกอย่างในเวลาเดียวกัน ซึ่งทำให้สับสนใช้เวลานาน และสรุปไม่ได้

องค์ประกอบของ Six Thinking Hats
            Six Thinking Hats จะประกอบด้วยหมวก 6 ใบ 6 สี คือ
1.     White Hat หรือ หมวกสีขาว หมายถึง  ข้อมูลเบื้องต้นของสิ่งนั้น เป็นความคิดแบบไม่ใช้อารมณ์ และมีเป้าประสงค์ที่ชัดเจน แน่นอน ตรงไปตรงมา ไม่ต้องการความคิดเห็น สีขาวเป็นสีที่ชี้ให้เห็นถึงความเป็นกลาง จึงเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริง จำนวนตัวเลข เมื่อสวมหมวกสีนี้ หมายความว่าที่ประชุมต้องการข้อเท็จจริงเท่านั้น โดยปกติแล้วเรามักจะ ใช้หมวกขาวตอนเริ่มต้นของกระบวนการคิดเพื่อเป็นพื้นฐานของความคิดที่กำลังจะเกิดขึ้นแต่เราก็ใช้หมวกขาวในตอนท้ายของกระบวนการได้เหมือนกัน เพื่อทำการประเมิน อย่างเช่นข้อเสนอโครงการต่างๆของเราเหมาะสมกับข้อมูลที่มีอยู่หรือไม่
2.      Red Hat  หรือ หมวกสีแดง หมายถึง ความรู้สึก สัญชาตญาณ และลางสังหรณ์ เมื่อสวมหมวกสีนี้ เราสามารถบอกความรู้สึกของตนเองว่าชอบ ไม่ชอบ ดี ไม่ดี มีการใช้อารมณ์ ความคิดเชิงอารมณ์ซึ่งส่วนใหญ่การแสดงอารมณ์จะไม่มีเหตุผลประกอบ หรือการตระหนักรู้โดยฉับพลันซึ่งก็คือ เรื่องบางเรื่องที่เคยเข้าใจในแบบหนึ่ง อยู่ๆก็เกิดเข้าใจในอีกแง่มุมหนึ่ง ซึ่งการตระหนักรู้แบบนี้จะทำให้เกิดงานสร้างสรรค์ การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ หรือวิธีคิดทางคณิตศาสตร์แบบก้าวกระโดด ความคิดความเข้าใจในสถานการณ์โดยทันที ซึ่งเป็นผลจากการใคร่ครวญอันซับซ้อนที่มีพื้นฐานจากประสบการณ์ เป็นการตัดสินที่ไม่อาจให้รายละเอียดหรืออธิบายได้ด้วยคำพูด เช่นเวลาที่คุณจำเพื่อนคนหนึ่งได้ คุณก็จำได้ในทันที
3.     Black Hat หรือ หมวกสีดำ หมายถึง ข้อควรคำนึงถึง สิ่งที่ทำให้เราเห็นว่า เราไม่ควรทำ  เป็นการคิดในเชิงระมัดระวัง หมวกสีดำ เป็นหมวกคิดที่เป็นธรรมชาติและสอดคล้องกับวิธีการคิดของตะวันตกมาก หมวกสีดำช่วยชี้ให้เราเห็นว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดไม่สอดคล้องและสิ่งใดใช้ไม่ได้ มันช่วยปกป้องเราจากการเสียเงินและพลังงาน ช่วยป้องกันไม่ให้เราทำอะไรอย่างโง่เขลาเบาปัญญา และผิดกฎหมาย หมวกสีดำ เป็นหมวกคิดที่มีเหตุมีผลเสมอ เพราะในการวิพากษ์วิจารณ์  หรือวิเคราะห์สิ่งใดจะต้องมีการคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลรองรับ ไม่มีอารมณ์มาเกี่ยวข้อง ในการประเมินสถานการณ์ในอนาคตของเรานั้น ต้องขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของเราเองและของผู้อื่นด้วย
4.      Yellow Hat หรือ หมวกสีเหลือง หมายถึง การคาดการณ์ในทางบวก ความคิดเชิงบวก เป็นการมองโลกในแง่ดี การมองที่เป็นประโยชน์  เป็นการคิดที่ก่อให้เกิดผล หรือทำให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้นได้  การคิดเชิงบวกเป็นการเปิดโอกาสให้พัฒนาและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ความคิดเชิงลบอาจป้องกันเราจากความผิดพลาด ความเสี่ยง และอันตรายที่อาจเกิดขึ้น  ดังนั้นการคิดเชิงบวกต้องผสมผสานความสงสัยใคร่รู้ ความสุข ความต้องการ และความกระหายที่จะทำสิ่งต่างๆให้เกิดขึ้นหรือไม่
5.      Green Hat หรือ หมวกสีเขียว หมายถึง ความคิดนอกกรอบที่มีความสัมพันธ์กับความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงแนวคิดและมุมมองซึ่งปกติมักถูกกำหนดจากระบบความคิดของประสบการณ์ดั้งเดิม และความคิดนอกกรอบนั้นจะอาศัยข้อมูลจากระบบของตัวเราเอง โดยเมื่อสวมหมวกสีนี้ จะแสดงความคิดใหม่ๆ เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น การคิดอย่างสร้างสรรค์
6.      Blue Hat หรือ หมวกสีน้ำเงิน หมายถึง การควบคุม และการบริหารกระบวน การคิด เพื่อให้เกิดความชัดเจนในเรื่องของความคิดรวบยอด ข้อสรุป การยุติข้อขัดแย้ง การมองเห็นภาพและการดำเนินการที่มีขั้นตอนเป็นระบบ เมื่อมีการใช้หมวกน้ำเงิน หมายถึง ต้องการให้มีการควบคุมสิ่งต่างๆ ให้อยู่ในระบบระเบียบที่ดี และถูกต้องหมวกสีน้ำเงินมักเป็นบทบาทของหัวหน้า ทำหน้าที่ควบคุมบทบาทของสมาชิก ควบคุมการดำเนินการประชุม การอภิปราย การทำงาน ควบคุมการใช้กระบวนการคิด การสรุปผล เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ อย่างไรก็ตามสมาชิก ก็สามารถ สวมหมวกน้ำเงิน ควบคุมบทบาทของหัวหน้าได้เช่นกัน ตัวอย่างคำถามที่ผู้สวมหมวกน้ำเงินสามารถนำไปใช้ได้ ได้แก่ เรื่องนี้ต้องการคิดแบบไหน ขั้นตอนของ เรื่องนี้คืออะไร เรื่องนี้จะสรุปอย่างไร ขอบเขตของปัญหาคืออะไร ขอให้คิดว่าเราต้องการอะไร และให้เกิดผลอย่างไร เรากำลังอยู่ในประเด็นที่กำหนดหรือไม่ เป็นต้น ผู้สวมหมวกน้ำเงินเปรียบเสมือนผู้ควบคุมวงดนตรีที่จะทำให้ผู้เล่นดนตรีแต่ละชิ้นบรรเลงสอดประสานกันได้อย่างไพเราะ ดังนั้น การควบคุมการคิดจึงต้อง เลือกใช้วิธีคิดของหมวกแต่ละใบอย่างเหมาะสม
กระบวนการคิดของ Six Thinking Hats
                กระบวนการคิดของ Six Thinking Hats นั้นไม่มีรูปแบบตายตัว แต่จะทำการคิดโดยการสวมหมวกทีละใบ ซึ่งเอดเวิร์ด เดอ โบโน ไม่ได้กำหนดว่าควรจะสวมหมวกสีอะไรก่อนหลังเช่น เริ่มจากหมวกสีน้ำเงิน คือ สิ่งที่เราประสบอยู่ แล้วก็ไปค้นหาวิธีแก้ปัญหานั้นๆ ว่าจะมีทางออกอย่างไรบ้าง จากนั้นจึงมาตรวจสอบกับหมวกสีเหลืองว่า ถ้าทำอย่างนั้นจะมีประโยชน์อะไรบ้าง ตรวจสอบกับหมวกสีดำว่าจะมีปัญหา อุปสรรคอะไรไหม แล้วนำเอาหมวกสีเขียวมาแก้หมวกสีดำอีกที ตรวจสอบกับหมวกสีแดงว่าถูกใจทุกคนหรือไม่ ถ้าไม่ก็หาหมวกสีเขียวมาแก้อีกครั้งหนึ่ง แล้วถึงขั้นตอนสรุป คือหมวกสีน้ำเงิน ไม่จำเป็นต้องใช้หมวกทุกสี
                ดังนั้น Six Thinking Hatsจึงเหมาะสมกับการประชุมเพื่อทำการแก้ปัญหาตัดสินใจต่างในองค์กรได้อย่างดี และมีประสิทธิภาพ

ประโยชน์ของการใช้ Six Thinking Hats
1.     เนื่องจากกระบวนการคิดแบบ Six Thinking Hats เป็นการเริ่มคิดในสิ่งเดียวกัน และคิดร่วมกันในประเด็นเดียวกัน ทำให้ลดความขัดแย้งในการประชุมลงไปได้มาก
2.     เนื่องจากระบบให้คนคิดทีละด้าน มองทีละด้าน จากด้านหนึ่งไปมองอีกด้านหนึ่ง ทำให้เห็นภาพจริงที่ชัดเจน เป็นผลให้ในเกิดการพิจารณาความคิดใหม่ ๆ ได้รอบคอบ
3.     การใช้ Six Thinking Hats ช่วยให้ทุกคนอยากมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ทำให้เป็นการดึงเอาศักยภาพ ของแต่ละคนมาใช้โดยที่ไม่รู้ตัว
4.       ช่วยประหยัดเวลาในการประชุม เนื่องจาก ทุกคนในที่ประชุมมีความคิดแบบคู้ขนาน
5.       จำกัดโอกาสหรือช่องทางสำหรับการโต้เถียงหรือโต้แย้งกัน

สุรป
                เทคนิคการคิดแบบ six thinking hats จะเป็นการรวมความคิดด้านต่างๆ ไว้ครบถ้วนทุกด้าน ระบบให้คนคิดทีละด้าน มองทีละด้าน จากด้านหนึ่งไปมองอีกด้านหนึ่ง จะได้เห็นภาพจริงที่ชัดเจน  ทำให้พิจารณาความคิดใหม่ ๆ ได้รอบคอบ เป็นผลให้เกิดความคิดที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น การคิดเป็นทักษะที่สามารถเรียนรู้ ฝึกฝน และพัฒนาได้ การใช้วิธีคิดแบบสวมหมวกคิด six thinking hats จะช่วยให้ผู้คิดสามารถคิดอย่างเป็นระบบ มีขั้นตอนในการคิดอย่าง สร้างสรรค์และสามารถแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ ได้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น

วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555

เทคนิคจำศัพท์ภาษาอังกฤษ

ทคนิคจำศัพท์ภาษาอังกฤษ

ภาษาอังกฤษถือเป็นภาษากลางที่มีความจำเป็น เนื่องจากมีบทบาทต่อผู้คนในหลากหลายอาชีพ รวมไปถึงน้อง ๆ นักศึกษาที่หลายหลักสูตรต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นพื้นฐาน ส่วนใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับการจำคำศัพท์ 'เกร็ดน่ารู้ Edutainment Zone' มีเทคนิคช่วยจำมาฝาก


ภาษาอังกฤษ, เรียนภาษา, เทคนิคจำศัพท์, อังกฤษ, การเรียน


จัดศัพท์เป็นหมวดหมู่ เช่น คำที่มีความสัมพันธ์กัน หรือมีความหมายตรงข้ามกัน จะช่วยให้จำศัพท์ได้ง่ายขึ้น อาจจดบันทึกใส่สมุดที่พกพาได้ เพื่อความสะดวกเมื่อต้องหยิบมาท่องในเวลาว่าง

นำศัพท์มาใช้บ่อย ๆ ทำให้เกิดความเคยชิน จะจำได้แม่นยำขึ้น จากนั้นลองแต่งประโยคจากคำเหล่านั้น เพื่อฝึกการเรียบเรียงประโยค

จำศัพท์จากการออกเสียง อาทิ คำที่ออกเสียงคล้าย ๆ กัน นอกจากจะช่วยให้นึกถึงความหมายได้ง่ายแล้ว ยังได้รู้หลักการออกเสียงที่ถูกต้อง

ท่องศัพท์ทุกวัน อย่างน้อยวันละ 10 คำ และหมั่นทบทวนบ่อย ๆ ให้คุ้นเคย หากมีโอกาสสนทนากับคนพูดภาษาอังกฤษ ควรลองนำศัพท์ไปใช้ในสถานการณ์จริง

ฝึกฟัง-อ่านภาษาอังกฤษจากข่าวหรือหนังสือต่าง ๆ แล้วสังเกตหาศัพท์ที่เคยท่อง จะช่วยให้เข้าใจเรื่องราวโดยรวมของเรื่องที่อ่านได้เร็วขึ้น

หลักการจำที่สำคัญอีกประการ คงต้องอยู่ที่ความขยันและความสม่ำเสมอในการท่อง เพื่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ที่ได้ผล.